สหรัฐอเมริกา: มหาอำนาจใหม่ในวงการพลังงานโลก

         




         องค์กรแรกคือองค์กรของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกปิโตรเลียม หรือที่เรารู้จักกันในชื่อย่อว่า OPEC นั่นเอง โอเปคได้ออกรายงานประจำเดือนกรกฎาคมที่เรียกว่า “Monthly Oil Market Report” โดยมีเนื้อหาสำคัญคือ

         1. เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตเพียง 3% (ลดลงจากการคาดการครั้งก่อนที่ 3.2%) แต่ปีหน้าจะเติบโตได้ที่ 3.5%

         2. ปีนี้เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วจะทรงตัวในระดับเดิมอย่างที่เคยคาดการเอาไว้ เช่น สหรัฐฯจะเติบโต 1.8% EU -0.6% ยกเว้นญี่ปุ่นจะขยายตัวดีขึ้นจากเดิมคาดไว้ +1.5% เป็น +1.8% แต่เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่น จีน อินเดีย จะขยายตัวน้อยกว่าที่คาด โดยจีนจะลดลงจาก +7.9% เป็น +7.7% และอินเดียจาก +6% เป็น +5.6% ส่วนปีหน้าเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้จะขยายตัวดีขึ้น โดยสหรัฐฯ +2.5%, EU +0.6%, ญี่ปุ่น +1.4%, จีน + 7.7% และอินเดีย +6%

         3. ความต้องการน้ำมันของโลกในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล/วัน หรือ 0.9% สู่ระดับ 89.6 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นการผลิตจากกลุ่มโอเปค 29.9 ล้านบาร์เรล/วัน และจากกลุ่มนอกโอเปค 54 ล้านบาร์เรล/วัน

         4. ส่วนปีหน้าความต้องการน้ำมันของโลกจะเพี่มสูงขึ้น 1 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 1.2% สู่ระดับ 90.7 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นการผลิตจากกลุ่มโอเปค 29.6 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลง 300,000 บาร์เรล/วัน และจากกลุ่มนอกโอเปค 55.1 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล/วัน

         จะเห็นได้ว่าแม้ตัวเลขความต้องการน้ำมันดิบของโลกจะสูงขึ้นในปีหน้าสู่ระดับที่แข็งแกร่งมากที่สุดนับจากปีค.ศ. 2010 เป็นต้นมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ในสายตาของกลุ่มโอเปคเองก็ยอมรับว่า ความต้องการน้ำมันจากกลุ่มโอเปคจะลดลง ทั้งนี้เพราะโอเปคจะเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่สูงขึ้น จากการที่ประเทศนอกกลุ่มโอเปคสามารถผลิตน้ำมันดิบได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯและแคนาดา

         ในสหรัฐฯ หน่วยงานที่เรียกว่าสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน หรือ EIA สังกัดกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯก็ได้ออกรายงานประจำเดือนในสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน ชื่อ Short-Term Energy Outlook

         ในรายงานดังกล่าวระบุว่า สหรัฐฯกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ทางด้านพลังงาน โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯสามารถผลิตพลังงานได้ถึง 89% ของความต้องการพลังงานทั้งหมดของประเทศ ซึ่งถือเป็นระดับของการพึ่งพาตนเองที่สูงที่สุดในรอบมากกว่า 27 ปี นับจากเดือนเมษายนปี 1986 เป็นต้นมา

          EIA ยังคาดการอีกด้วยว่า ปีหน้าสหรัฐฯจะนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเพียง 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลงจากปี 2005 ซึ่งเคยนำเข้าสูงสุดถึง 12.5 ล้านบาร์เรล/วัน

          ทั้งหมดนี้ก็เป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯสามารถผลิตน้ำมันดิบในประเทศได้เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Hydraulic Fracturing หรือ Fracking ร่วมกับ Horizontal Drilling ที่สามารถผลิตน้ำมันดิบประเภท Shale Oil หรือ Tight Oil จากชั้นหินดินดานในแถบตอนกลาง (Mid West) ของประเทศได้ ทำให้ผลผลิตน้ำมันดิบในประเทศพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 21 ปี นับจากเดือนมกราคม ปี 1992 เป็นต้นมา

          ตามการคาดการของ EIA ปีนี้สหรัฐฯจะผลิตน้ำมันดิบได้เฉลี่ยทั้งปีที่ 7.3 ล้านบาร์เรล/วัน โดยสถิติสูงสุดอยู่ที่ 7.4 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา และจะเพิ่มเป็น 7.75 ล้านบาร์เรล/วัน ในสิ้นปีนี้ ส่วนปีหน้าจะผลิตเพิ่มได้เป็นเฉลี่ย 8.1 ล้านบาร์เรล/วัน

          การที่สหรัฐฯสามารถผลิตน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้นมากดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันสหรัฐฯกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกผลิตภํณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯได้มีการลงทุนและขยายกำลังการกลั่น จนสามารถส่งออกน้ำมันเบนซินและดีเซลออกไปขายทั่วโลก ทั้งในยุโรป เอเซีย และ อเมริกาใต้ โดยล่าสุดสหรัฐฯมีตัวเลขส่งออกน้ำมันดีเซลสูงกว่า 5 ล้านบาร์เรล/วัน เลยทีเดียว

          นอกจาก Shale Oil แล้ว สหรัฐฯยังค้นพบแหล่ง Shale Gas ปริมาณมากมายมหาศาล ใช้ไปได้เป็นร้อยปี ซึ่งจะมีส่วนทำให้ตลาด LNG ในอนาคตมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น และราคาน่าจะถูกลง

          ปัจจุบันกฏหมายสหรัฐฯยังไม่ยอมให้มีการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติไปขายต่างประเทศ ยกเว้นประเทศในเขตการค้าเสรีทวีปอเมริกาเหนือ หรือ NAFTA อันได้แก่ แคนาดาและเมกซิโก เท่านั้น แต่บริษัทน้ำมันกำลัง lobby รัฐบาลและสภา Congress เต็มที่ ซึ่งผมเชื่อว่าในที่สุดสหรัฐฯก็ต้องยอมให้ส่งออกได้

          เมื่อถึงวันนั้นสหรัฐฯก็จะกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ทางด้านพลังงาน และโอเปคก็จะต้องลดบทบาทของตนเองลงไป ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อวันนั้นมาถึง ชาวโลกจะได้ใช้พลังงานในราคาที่ถูกลง ไม่ใช่สหรัฐฯไปจับมือกับโอเปค ผูกขาดตลาดพลังงาน ทำให้ราคากลับยิ่งสูงขึ้นไปอีก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น